“ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี” จับมือ “บจ.อัคราเดียน” MOU ร่วมวิจัย-ต่อยอดองค์ความรู้ พัฒนาระบบการจัดการพลังงาน ยก เป็นต้นแบบถ่ายทอดเทคโนโลยี หนุน ขับเคลื่อนไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2050
วันนี้ (5 มิ.ย.2568)เวลา 14.00น. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและบริษัท อัคราเดียน จำกัด ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัย เรื่อง การวิจัยและพัฒนาระบบการจัดการพลังงาน ที่คณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยมี ดร.ก้องกาญจน์ วชิรพนัง รองอธิการบดีฝ่ายบุคคล พร้อมด้วย ผศ.ดร.กูสกานา กูบาฮา คณบดีคณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ รศ. ดร.อดิศักดิ์ นาถกรณกุล รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ ดร.รุ่งโรจน์ สงค์ประกอบ รองคณบดีฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์และถ่ายทอดเทคโนโลยีคณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ ผศ.ดร.พัฒนะ รักความสุข รองคณบดีอาวุโสฝ่ายวิจัย คณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ และดร.ปรีชา อาการศ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ขณะที่ภาคเอกชน นำโดย คุณรัตนดา ถนอมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัคราเดียน จำกัด คุณรัชชา สุขชม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ลาร์ซ แอนด์ ลอเร็ล จำกัด คุณนัธที วงศ์พยัคฆ์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อัคราเดียน จำกัด และคุณพรทิพย์ ลิมปิชัยโสภณ ผู้ประสานงานโครงการ และสื่อมวลชน เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัย เรื่อง การวิจัยและพัฒนาระบบการจัดการพลังงานในครั้งนี้
ผศ.ดร.กูสกานา กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนา เมื่อมาประกอบกับทางอัคราเดียนที่มีความเชี่ยวชาญและเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับแบตเตอรี่ พลังงานรถยนต์ไฟฟ้า ที่เกี่ยวข้อง เมื่อมาร่วมมือกันจะเกิดการพัฒนาและตอบโจทย์ประเทศไทยในขับเคลื่อนประเทศสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ให้ได้ตามเป้าหมาย
ดร.ก้องกาญจน์ กล่าวว่า ถือเป็นเป้าหมายของมหาวิทยาลัยที่ได้ทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชนมา อย่างยาวนาน เพื่อให้องค์ความรู้สามารถนำไปใช้งานได้จริง สามารถสร้างประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรม และสังคมประเทศได้ โดยไม่ใช่แค่การวิจัยเท่านั้นแต่ควบคู่กับการพัฒนากำลังคน พัฒนาองค์ความรู้สร้างคุณค่าและโอกาสใหม่ๆให้กับประเทศ ซึ่งความร่วมมือกับภาคเอกชนในวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากของประเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พร้อมเปิดรับทุกความร่วมมือในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะการให้น้ำหนักเรื่องการพัฒนากำลังคนในภาคอุตสาหกรรม พร้อมเปิดรับทุกหน่วยงานองค์กรและภาคเอกชน เข้ามาร่วมมือกัน
ด้านคุณรัตนดา ระบุว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีความโดดเด่นด้านการขับเคลื่อนให้ไทยเป็นประเทศที่มีคาร์บอนต่ำ ทางบริษัท อัคราเดียนเองมีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า Energy Management ซึ่งการจะทำให้พลังงานหมุนเวียนที่ถือเป็นกุญแจสำคัญนั้นมีเสถียรภาพ ต้องใช้ระบบ Battery Energy Storage System ซึ่งมีการทำงานร่วมกันกับบริษัทระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ โดยความร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีกับบริษัทอัคราเดียนครั้งนี้มีกรอบ การทำงานร่วมกันทางด้านวิจัยและพัฒนาทำให้เกิดขึ้นจริง ในระยะเวลา 3 ปี โดยจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งมุ่งหวังให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นโมเดลต้นแบบในการเผยแพร่องค์ความรู้ให้กับหน่วยงาน องค์กรและสถานศึกษาต่าง ๆ รวมถึงภาคประชาชน สามารถเข้ามาเรียนรู้และนำไปปรับใช้เพื่อให้มีโอกาสได้ใช้พลังงานสะอาดอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น พร้อมเชิญชวนให้ภาคเอกชน เข้ามาศึกษาและร่วมมือกับมหาวิทยาลัยฯเพื่อพัฒนาและต่อยอดองค์ความรู้สู่การขับเคลื่อนประเทศด้านการลดก๊าซเรือนกระจกให้มากที่สุด
สำหรับการวิจัยและพัฒนาระบบการจัดการพลังงาน ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ บริษัท อัคราเดียน จำกัด ตกลงร่วมมือกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาองค์ความรู้ในด้านพลังงานไฟฟ้า โดยรวมถึงพลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า และสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 นอกจากนี้ยังมีมุ่งพัฒนาหลักสูตร กิจกรรมการเรียนรู้ และบุคลากรด้านพลังงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีพลังงาน โดยเน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคเอกชน และเพื่อผลักดันให้เกิดการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมด้านพลังงานไปประยุกต์ใช้จริง ทั้งในเชิงนโยบายสาธารณประโยชน์ และเชิงพาณิชย์ ตลอดจนส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบกักเก็บพลังงานอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด
No comments