เจาะสัญญาณ 2569 : เศรษฐกิจไทยบนทางแยกใหม่ รัฐ-เอกชนเร่งปรับตัวสู่อนาคตยั่งยืน
iBusiness จัดเวทีสัมมนาใหญ่ “iBusiness Forum: Thailand Future Signal 2026 – จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย” เพื่อถอดสัญญาณแนวโน้มเศรษฐกิจโลก–ไทย ปี 2569 ระดมความเห็นจากผู้นำภาครัฐ เอกชน และนักวิเคราะห์ชั้นนำของประเทศ เพื่อปรับกลยุทธ์รับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2569 พร้อมผลักดันธุรกิจให้ก้าวสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง ภายหลังสถานการณ์ครึ่งแรกของปี 2568 ทั่วโลกต้องเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินจากประเทศมหาอำนาจ มาตรการภาษีการค้าระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานและเทคโนโลยี โดยมี ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน และปาฐกถาพิเศษ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันก่อน
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สัญญาณแรกที่เห็น ภายหลังจากที่ได้เข้ามาบริหารงานภายใต้รัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คือ ชีพจรเศรษฐกิจไทยเต้นแผ่วมาก เป็นสภาวะที่เหมือนกำลังดิ่งเหว เพราะจากตัวเลขของสภาอุตสาหกรรม GDP เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 เติบโต 1.7% ส่วนไตรมาสที่ 4 เหลือ 0.3% ถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำและแผ่วมากที่สุด
แต่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการร่วมมือกับภาคเอกชน จนเริ่มเห็นว่าสัญญาณเศรษฐกิจไทยถูกกระตุ้นฟื้นตัวขึ้นมาใหม่อย่างมาก ผ่านนโยบายมุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยด้วยแนวคิด "Quick Big Win" หรือ "5 เสาหลัก" ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นให้เห็นผลลัพธ์ใน 4 เดือน ควบคู่ไปกับการสร้างผลลัพธ์ระยะยาว ได้แก่ เสาหลักที่ 1 โครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งกรุงเทพฯ ขณะนี้มีการใช้จ่ายผ่าน Digital Wallet อยู่ที่ 14 % ของงบประมาณโครงการนี้ 20,000 กว่าล้านบาท ที่เหลือกระจายไปทั่วประเทศ โครงการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มอีกเดือนละ 850 บาท เป็นเวลา 2 เดือน (พฤศจิกายน - ธันวาคม 2568) รวมเป็น 1,700 บาทต่อคน และโครงการเที่ยวดีมีคืน รับสิทธิลดหย่อนภาษี 1.5 เท่า ผ่านการท่องเที่ยวเมืองรอง ตั้งแต่วันนี้ - 15 ธันวาคม 2568
ดร.เอกนิติ กล่าวต่อไปว่า เสาหลักที่ 2 ลดภาระหนี้สินภาคประชาชน จัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อรับซื้อหนี้ของประชาชนมาปรับปรุงโครงสร้าง ลดภาระดอกเบี้ย เสาหลักที่ 3 เพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs ใช้กลไกของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ เสาหลักที่ 4 เพิ่มการออมของประชาชน ผ่านวิธีนำเงินส่วนหนึ่งจากการซื้อสลากในแต่ละงวด ไปจัดสรรเป็นเงินออมให้กับประชาชน นอกจากนี้จะเพิ่มโอกาสให้รายย่อยสามารถเข้าถึงการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ และผู้สูงอายุที่ออมเงินจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น สุดท้าย เสาหลักที่ 5 การลงทุนเพื่ออนาคตและเพิ่มทักษะแรงงาน โดยร่วมมือกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อเชื่อมโยงภาคธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนกับสถาบันการศึกษา ในการผลิตแรงงานที่มีทักษะตรงตามความต้องการของตลาด พร้อมปลดล็อกโครงการที่ได้รับอนุมัติ BOI ไปแล้วในช่วงปี 2566-2567 แต่ต้องยอมรับว่ายังมีเม็ดเงินเรื่องสาธารณูปโภคและแรงงาน ที่ขอรับการลงทุนค้างอยู่ถึง 4.7 แสนล้านบาท ผ่านนโยบาย Fast Pass เพื่อเร่งรัดปลดล็อคให้เงินลงทุนกลับเข้าสู่ระบบได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ ภายในงานเหล่าผู้นำองค์กรชั้นนำจากหลากหลายภาคเศรษฐกิจของประเทศ ยังได้ร่วมบรรยายพิเศษหัวข้อ “สัญญาณเศรษฐกิจโลก–ไทย: อ่านเกมวิกฤตการเมือง พลิกโอกาสอนาคตเศรษฐกิจไทย”
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้น หลังจากรัฐบาลออกนโยบายการคลังผ่านโครงการต่างๆ มาขับเคลื่อนช่วยเหลืออย่างจริงจังและรวดเร็ว แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งสัญญาณที่สำคัญ คือ ปัจจุบันมีการแตกขั้วอำนาจออกไปมากขึ้น จากเดิมมีอยู่แค่ 2 ขั้วอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกา และจีน รวมถึงผลกระทบจากปัญหาภาษีทรัมป์ (TRUMP'S Tariff) ทำให้เกิดการจับคู่ธุรกิจ และเศรษฐกิจใหม่เพื่อจะสามารถตอบโจทย์ภาษีทรัมป์ ได้ ส่งผลให้อาเซียนและประเทศไทย กลายเป็นพื้นที่ที่ต่างชาติให้ความสนใจอย่างมากในเรื่องของการค้า และการลงทุน สิ่งที่ประเทศไทยควรทำ คือ วางตัวไม่ให้มีความขัดแย้งกับขั้วใด ๆ เพื่อเดินหน้าต่อไปในการขยายการค้าและการลงทุน
นอกจากนี้ หอการค้าฯ มองว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับ 4 การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ภาครัฐ และเอกชนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1. Geopolitical Change ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค 2. Technology Change ปัจจุบัน AI Technology เข้ามามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศทุกมิติ ไทยจำเป็นต้องให้ความจริงจังกับเรื่อง Digital Transformation โดยนำ Digital Technology มาใช้ทำงานแทนรูปแบบเดิม ๆ ที่มีขั้นตอนเยอะ 3. Population Change จากแนวโน้มจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง อนาคตจะส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนแรงงานภายในประเทศ รัฐบาลควรมีนโยบาย Upskill Reskill พัฒนาประชากรที่มีอยู่ให้มีคุณภาพ สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ได้ 4. Climate Change ปัญหาเรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง พร้อมกับการที่รัฐบาลประกาศแนวทางเรื่อง Net Zero Carbon ภาคเอกชนพร้อมช่วยผู้ประกอบการปรับตัว เพื่อเข้าสู่การค้ารูปแบบใหม่ Green Economy ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมร่วมกัน
ดังนั้นรัฐบาลไทยควรส่งเสริมให้เกิดการร่วมลงทุน ระหว่างนักลงทุนต่างประเทศ กับภาคเอกชนไทย เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาอุตสาหกรรม ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ในประเทศและสร้างอัตลักษณ์ของสินค้าไทยขึ้นมา
ด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึง แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2569 ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน (Uncertainty) จากปัจจัยสำคัญ อาทิ ส่งออกไทยมีแนวโน้มชะลอตัว จากผลกระทบจากสงครามการค้า และความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้า ของประเทศมหาอำนาจ จึงจำเป็นต้องเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพราะเป็นกลไกสำคัญในการขยายตลาดและการส่งเสริมการค้าในปี 2569
ขณะที่ ด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรมก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาลักลอบ ขนสินค้าข้ามแดน สินค้าราคาถูกทุ่มทำตลาดอย่างมาก รวมถึง SME เผชิญกับปัญหาหนี้เสีย และสภาพคล่อง ทำให้กระทบต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงชะลอตัวอยู่ จากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ส.อ.ท ได้เสนอมาตรการ ผ่านเวที iBuisness Forum เพื่อส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมไทย เช่น Next-Gen Industry : ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม Regulatory Reform : ปฏิรูปกฎหมาย ด้วยการลดกฎระเบียบและข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น BCG Model : ปฏิรูปกฎหมายส่งเสริมสินค้าและห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (BCG Model) Free Trade Area (FTA): เร่งรัดเปิดการค้า และการเจรจาขยายความตกลงการค้าเสรี เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและการส่งออก และ Infrastructure : พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบโลจิสติกส์และการบริหารจัดการน้ำเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
ส่วน ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) กล่าวถึง ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในอนาคตประเทศไทย ในระยะยาว 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า มองว่า จำนวนประชากรวัยแรงงานลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในปั่นป่วนเพราะขาดแรงงาน รวมถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความขัดแย้งทางการเมืองระดับโลก และการแข่งขันสู้รบกันระหว่าง 2 ประเทศขั้วอำนาจ จากเดิมเน้นเรื่องอำนาจทางทหาร ความมั่นคง และการควบคุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (Geopolitics) ไปสู่การใช้ เครื่องมือทางเศรษฐกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองและยุทธศาสตร์ของประเทศ เช่น การจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญ การควบคุมทรัพยากรที่สำคัญ (Critical Minerals) และการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า ต่างๆ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้บ่งชี้ว่า อำนาจทางเศรษฐกิจ ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งยวดในการกำหนดสถานะและอิทธิพลของประเทศบนเวทีโลกควบคู่ไปกับอำนาจทางทหาร
ก่อนปิดท้ายในช่วงการเสวนาหัวข้อ “Green Business 2026: พลังงานใหม่ – ท่องเที่ยวยั่งยืน – นวัตกรรมสีเขียว เจาะกลยุทธ์เชิงรุก คว้าโอกาสใหม่ขับเคลื่อนธุรกิจไทย เจาะลึกโอกาสและกลยุทธ์ธุรกิจยุคใหม่ เหล่าผู้นำจากภาคเอกชน ได้ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดนวัตกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวว่า ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นสร้างสมดุลด้านพลังงานในสามมิติหลัก ได้แก่ การสร้างความมั่นคงทางพลังงาน การจัดหาพลังงานในราคาที่เหมาะสมควบคู่กับการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และการขับเคลื่อนความยั่งยืนในระยะยาว เพื่อให้สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในการดำเนินการตามเป้าหมายดังกล่าว ปตท.ได้วางกลยุทธ์สำคัญภายใต้แนวทาง C3 ได้แก่ 1. Climate-Resilience Business การปรับพอร์ตการลงทุนไปสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ 2. Carbon Conscious Asset การปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน และ 3. Coalition, Co-creation & Collective Efforts for All การร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆเพื่อผลักดันการลดคาร์บอนอย่างเป็นระบบ
ด้าน นายพนาสันต์ สุจริตพานิช ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารงานกลาง บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีบทบาทในการดำเนินงานของกลุ่มโรงพยาบาล และเป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้บริหารที่ร่วมขับเคลื่อนธุรกิจ "กรีนบิสซิเนส" ของกลุ่ม BDMS ผ่านการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความยั่งยืน กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจ Health Care มีความท้าทายอย่างมากในเรื่องของการก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นโรค NCD ซึ่งต้องอาศัยนวัตกรรมในการดูแลที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ที่ผ่านมา BDMS ได้นำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในหลากหลายมิติของการรักษา ทั้งในกระบวนการวินิจฉัยและการดูแลผู้ป่วยแบบเฉพาะบุคคล (Precision Medicine) เพื่อยกระดับคุณภาพการรักษาให้ รวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะซับซ้อน ทั้งนี้ยังช่วยลดเวลาการพักฟื้นของผู้ป่วย และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล
ขณะที่ธุรกิจบริการขนส่ง นางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ แกร็บ ประเทศไทย ผู้นำแพลตฟอร์มการเดินทางที่คนไทยคุ้นเคย กล่าวว่า ที่ผ่านมา แกร็บได้ส่งเสริมและผลักดันประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การรณรงค์ให้คนขับเปลี่ยนจากรถสันดาป มาใช้เป็น รถ EV เพื่อให้บริการ การพัฒนาฟีเจอร์งดรับช้อนส้อมพลาสติกสำหรับบริการฟู้ดเดลิเวอรี และการพัฒนาฟีเจอร์ชดเชยคาร์บอนเพื่อให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมนอกจากนี้ในแง่ขององค์กรก็มีการนำระบบ Google Map มาใช้เพื่อให้เกิดความแม่นยำระหว่างผู้ใช้บริการ กับคนขับ จะไม่ได้เกิดข้อผิดพลาด และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อวิเคราะห์หาเส้นทางที่ดีที่สุด ย่นระยะเวลาการเดินทาง และช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย ทั้งหมดคือต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่อการที่เราจะต้องมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Green Business
ซึ่งปัจจุบันการดำเนินงานของ แกร็บ ก็มีนโยบายที่จะส่งเสริมในเรื่องนี้อยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการทำธุรกิจที่ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการ Grab EV ที่มุ่งส่งเสริมให้คนขับ-ผู้จัดส่งอาหาร หันมาใช้รถ EV มากขึ้น ซึ่ง ปัจจุบันมีคนขับแกร็บที่ใช้รถ EV ให้บริการมากกว่า 10,000 คันแล้ว
ปิดท้ายด้วย นายสมานนพพล รัตนธรรมทิตยา ผู้บริหาร สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ได้กล่าวว่า เรามีการผลักดันเรื่อง “Green Tourism” หรือ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวเชิงยั่งยืนระดับโลก
ที่ผ่านมา เราได้คุยกับGrab ที่พาร์เนอร์กับเรา ในการให้ช่วยจัดหารถทัวร์ รถตู้ EV มารองรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น รวมถึงการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว ไม่ให้กระจุกตัวในเมืองหลัก ส่งเสริมเส้นทางเมืองรองและชุมชน เพื่อที่ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่ามาเที่ยวแล้วเกิดความยั่งยืน ไม่ใช่มาเที่ยวเพื่อทำลายสิ่งแวดล้อม รวมถึงร่วมสร้าง Green Tour เช่น นั่งเรือที่มีโซล่าเซลล์ หรือ การไปสถานที่ท่องเที่ยวชุมชนที่มีการใช้โซล่าเซลล์ สิ่งนี้ถือว่าเป็นจุดขายใหม่ของการท่องเที่ยวไทย เพราะปัจจุบันตลาดท่องเที่ยวในเอเชียยังไม่มีใครทำเรื่องนี้ มาก่อน
















No comments