Breaking News

รู้ทันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองภัยเงียบใกล้ตัว เสี่ยงเป็นซ้ำแต่มีโอกาสรักษาหายได้มากที่สุด

ชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฯ เผยพบผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกือบ 600,000 รายต่อปี และในประเทศไทยพบว่ามีผู้ป่วยใหม่ที่เป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองปีละกว่า 7,000 ราย หรือ เทียบเท่า 19 รายต่อวัน มากขึ้นกว่าเท่าตัว นับเป็นโรคร้ายใกล้ตัว เนื่องจากเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอับดับ 1 ของมะเร็งทางระบบโลหิตวิทยาและมีโอกาสกลับเป็นซ้ำในสองปีแรก ทางชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทย จึงจัดงาน “ปาฏิหาริย์-เปลี่ยนมะเร็ง-ให้เป็นสุข : Miracle is all AROUND 2021” เนื่องใน"วันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองโลก" ให้ความรู้ พร้อมพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาที่จะมาแนะนำแนวทางการรักษา และการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง เพื่อให้คนไข้โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทุกคน มีคุณภาพชีวิต และแรงบันดาลใจที่ดี ในวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ผ่านระบบออนไลน์ Zoom โดยมีผู้ป่วยและผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังจำนวนมาก

 

ศ.นพ.ธานินทร์ อินทรกำธรชัย ประธานชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทย ประธานคณะทำงานการวิจัยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทย (Thai Lymphoma Study Group) อดีต ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า พบผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกือบ 600,000 รายต่อปี และในประเทศไทยพบว่ามีผู้ป่วยใหม่ที่เป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองปีละกว่า 7,000 ราย หรือ เทียบเท่า 19 รายต่อวัน มากขึ้นกว่าเท่าตัว นับเป็นโรคร้ายใกล้ตัว เนื่องจากเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอับดับ 1 ของมะเร็งทางระบบโลหิตวิทยาและมีโอกาสกลับเป็นซ้ำในสองปีแรกหลัง โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ Non-Hodgkin lymphoma หรือ NHL และ  ชนิด Hodgkin lymphoma หรือ HL  โดยในปัจจุบันยังไม่สามารถบอกสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทุกรายได้อย่างชัดเจน แต่พบมีความสัมพันธ์กับหลายภาวะ ได้แก่

-​อุบัติการณ์สูงสุดอยู่ที่ช่วง อายุ  60-70 ปี  อย่างไรก็ตามมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด HD สามารถพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่อายุน้อยตั้งๆแต่ 20-30 ปีอีกด้วย

-​เพศ : เพศชายพบเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าเพศหญิง

-​การติดเชื้อ : พบความสัมพันธ์ระหว่างโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิดกับการติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร (H. pylori) การติดเชื้อไวรัส EBV (Epstein-Barr Virus)

-​ภาวะพร่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย : ผู้ป่วยติดเชื้อ เอช ไอ วี (HIV) พบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น

-​โรคภูมิแพ้ตนเอง  : ผู้ป่วยโรค เอส แอล SLE  พบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น

-​การสัมผัสสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง เป็นระยะเวลานาน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

 

ทางด้าน ดร.นพ.อาจรบ คูหาภินันทน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และแนวทางการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในปัจจุบัน กล่าวว่า ถึงแม้โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะพบมาก แต่ก็เป็นโรคมะเร็งเพียงไม่กี่ชนิดที่มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ แต่ปัญหาของผู้ป่วยในระยะแรกจะไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากอาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะเหมือนอาการอื่นๆ ที่พบได้ในภาวะต่างๆ เช่น การติดเชื้อ ภูมิแพ้ เหงื่อออกตอนกลางคืน เป็นไข้ และน้ำหนักลด ดังนั้น ความรู้ความเข้าใจ การดูแลสุขภาพตนเองอย่างดี รวมถึงการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาตั้งแต่เริ่มต้น จะทำให้วินิจฉัยและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีโอกาสในการหายจากโรคได้มากขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วนั้น ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนสำคัญในการผลักดัน และให้กำลังใจผู้ป่วยระหว่างการรักษา ร่วมกับแพทย์ที่จะให้การรักษาที่ดีที่สุด และมีโอกาสหายมากที่สุด โดยทั่วไปอาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมักจะกินเวลานาน และไม่สามารถอธิบายได้จากสาเหตุอื่น เมื่อเทียบกับโรคมะเร็งชนิดอื่น

สำหรับวิธีการรักษาด้วยนวัตกรรมการรักษาใหม่ๆ ได้แก่ การใช้เคมีบำบัด ยาแอนติบอดี้การฉายแสงสำหรับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิดหรือก้อนมะเร็งที่โตเฉพาะที่ และการปลุกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดสำหรับผู้ป่วยที่กลับมาเป็นซ้ำ   มีผู้ป่วย 60% ตอบสนองกับการรักษามาตรฐาน และอีกกว่า 40 % ที่ไม่ตอบสนองกับการรักษา ซึ่งแบ่งเป็น 15% ที่ดื้อต่อการรักษา และ 25 % ที่กลับมาเป็นซ้ำภายในระยะเวลา 2 ปี ปัจจุบันในคนไข้กลุ่มที่ไม่ตอบสนองกับการรักษา มีแนวทางการรักษาสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ คือ 1. การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด สำหรับที่ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการปลูกถ่ายเซล์ต้นกำเนิดได้ 2.นวัตกรรมการรักษารวมไปถึงยาที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ เป็นทางเลือกให้คนไข้กลุ่มที่ไม่สามารถการปลุกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดได้ ซึ่งผลการรักษาได้ผลดีในระดับที่น่าพอใจ

 


โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองปัจจุบันถือว่าเป็นโรคมะเร็งที่สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย ทำให้ทั่วโลกให้ความสำคัญ และตื่นตัวกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโรคมะเร็งทางโลหิตวิทยาที่พบได้บ่อยในประเทศไทย และทั่วโลก จึงยกให้วันที่ 15 กันยายน ของทุกปี ตรงกับ "วันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองโลก" ในปีนี้ "ชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทย" ด้วยความร่วมมือจากโรงเรียนแพทย์ และสถานพยาบาลที่สำคัญของประเทศ รวม 13 แห่ง ได้จัดกิจกรรมน่าสนใจมากมาย อาทิ 

• เปิดงานด้วยหนังสั้น “ตื๊อไม่หยุด : The Lymphoma War”

• พูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา เกี่ยวกับแนวทางการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในปัจจุบัน และไขทุกข้อข้องใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

• นำทีมโดย เบลล่า ศิรินทิพย์ (อดีตผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะเกินสุดท้าย)

• ช่วง “เรื่องจริงประสบการณ์ตรง” กับอดีตผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ที่จะมาแบ่งปันแรงบันดาลใจดีๆ พร้อมเคล็ดไม่ลับในการดูแลตัวเอง

• และปิดท้าย กิจกรรม “Miracle is all around by ว่าน ธนกฤต”

 


นอกจากนี้ในงานยังร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้ป่วย กับการต่อสู้กับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยมีคุณพงศ์พันธุ์ พงษ์ภัทรากร ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Diffuse large B cell lymphoma กล่าวว่า เมื่อ 4 ปีก่อนได้ตรวจพบเริ่มจากมีก้อนที่คอจึงไปตรวจเพิ่มเติมพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง รู้สึกตกใจและคิดว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงไม่สามารถรักษาให้หายได้แต่เมื่อได้ปรึกษาทางคุณหมอถึงแนวทางและขั้นตอนการรักษาพบว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่รู้ไว สามารถรักษาให้หายได้ จึงรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นและได้เข้ารับการรักษาครั้งแรกเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน โดยให้คีโมทั้งหมด 6 เข็ม หลังจบการรักษาแล้ว  โรคสงบเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี แต่ในช่วงที่ติดตามอาการ ตรวจพบโรคกลับเป็นซ้ำอีกครั้งโดยเริ่มมีก้อนที่คางอีกครั้งทำให้หน้าบวมไม่เท่ากัน จึงทำการรักษาอีกครั้งตามขั้นตอนทางการแพทย์แม้ว่าการรักษาครั้งที่ 2 ยาคีโมจะแรงกว่าการรักษาครั้งแรกก็ตาม แต่มีกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญจากคนใกล้ตัว ซึ่งตัวเองมีลูกสาวและภรรยาดูแลอย่างดีและใกล้ชิด โดยคอยสังเกตอาการ ให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ พาไปหาหมอตามนัดตลอดทุกครั้ง ทำให้มีกำลังใจที่ดีขึ้นเพื่อที่จะต่อสู้และมีความหวังจากการรักษาว่าจะต้องหายจากโรคได้อย่างแน่นอน  เชื่อมั่นในขั้นตอนการรักษาและวิธีการรักษาใหม่ๆ  ปัจจุบันโรคสงบอีกครั้งหลังเข้ารับการรักษาครั้งที่ 2

No comments