Breaking News

ปัญหาที่ไม่เล็ก เมื่อเด็กเครียด : BDMS แนะนำ '5 อาหารใจให้ลูกทุกวันหลังเลิกเรียน'

"เป็นเด็กเป็นเล็ก จะเครียดเรื่องอะไรกันนะ" อาจเป็นสิ่งที่หลายคนแอบคิด ขณะติดตามข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นข่าวการฆ่าตัวตาย การกลั่นแกล้งและแบ่งแยกกันในโรงเรียน ไปจนถึงความรุนแรงที่เกิดจากเยาวชนกันเอง แต่สิ่งที่เราอาจหลงลืมไปเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ คือความรู้สึกของการเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ เป็นครั้งแรกเมื่อครั้งเราเป็นเด็ก ที่ทุกเหตุการณ์เป็นเรื่องยิ่งใหญ่และสำคัญ และเมื่อรวมเข้ากับความคาดหวังจากสังคม ภาพลักษณ์ที่สวยงามของผู้คนในโลกโซเชียลที่กลายเป็นกลุ่มสังคมสำคัญของเด็กรุ่นใหม่ ทำให้เรียกได้ว่าการเป็นเด็กในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย โดยรายงานจากกรมสุขภาพจิตประจำปี 2559 ระบุว่า มีวัยรุ่นไทยมากถึง 1.5 แสนคนทั่วประเทศเป็นโรคพฤติกรรมเกเรก้าวร้าว โดยส่วนหนึ่งสืบสาเหตุมาจากการที่พ่อแม่ปล่อยปละละเลยไม่ให้ความสนใจหรือแก้ไขพฤติกรรมก้าวร้าวที่ลูกเป็นมาตั้งแต่เด็ก และ หากปล่อยอาการเหล่านี้ไว้ไม่แก้ไข กว่าร้อยละ 40 ของเด็กเหล่านี้อาจกลายเป็นนักเลงอันธพาลในอนาคต* ต่อมาในปีพ.ศ. 2560 กรมสุขภาพจิตยังระบุอีกว่า มีวัยรุ่นไทยป่วยด้วยโรคซึมเศร้าแล้วกว่า 1 ล้านคน และมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอีกกว่า 3 ล้านจากวัยรุ่นทั้งหมดประมาณ 8 ล้านคน** ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบอันเนื่องมาจากการที่เด็กไทยไม่ได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตและพัฒนาการณ์ทางอารมณ์อย่างทั่วถึง ที่หากไม่ได้รับการเฝ้าระวังและแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม ลักษณะนิสัย ทัศนคติต่อตนเองและผู้อื่น รวมไปถึงพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรงในสังคม เพราะสุขภาพจิตเป็นรากฐานสำคัญของการมีสุขภาพกายและสภาพความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์ หากสุขภาพจิตเด็กไทยไม่มั่นคง โอกาสที่สังคมไทยจะสามารถพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพในอนาคตก็ลดน้อยลงไปด้วย

เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตใจของเด็กให้กับกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุดอย่างพ่อแม่ผู้ปกครองและครู วันนี้ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS จึงรวบรวมความรู้จากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหลายท่านมาเป็น "5 อาหารใจให้ลูกทุกวันหลังเลิกเรียน" ฝากเป็นเคล็ดลับง่ายๆให้คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองและคุณครูนำไปปรับใช้ เพื่อการดูแลสุขภาพจิตของเด็กในชีวิตประจำวัน:
  1. ให้ความใส่ใจ คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองและคุณครูควรให้ความใส่ใจและคอยสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ๆ ในกรณีที่สังเกตเห็นว่าเด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น เงียบหรือเก็บตัวมากกว่าปกติ หรือมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารแปลกไปจากปกติ เช่นทานมากขึ้นหรือน้อยลง ควรเข้าไปพูดคุยสอบถาม พร้อมแสดงความห่วงใยและเข้าอกเข้าใจ เด็ก ๆ จะรับรู้ได้ว่าคนรอบข้างให้ความสนใจและความเข้าใจ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กรู้สึกสบายใจ สามารถระบายสิ่งที่อยู่ในใจได้สะดวกใจยิ่งขึ้น
  2. ให้ความสนับสนุน โดยไม่สร้างความกดดัน แม้การตั้งเป้าหมายสำหรับอนาคตอาจเป็นสิ่งที่ดีในการสร้างแรงจูงใจให้แก่เด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้างควรจะระมัดระวังพฤติกรรมการแสดงออกของตนเอง โดยทำให้แน่ใจว่าตนเองมอบความสนับสนุน โดยไม่สร้างแรงกดดันให้แก่เด็ก ๆ เพราะการสร้างแรงกดดันอาจจะทำให้เด็กเครียดได้ ในกรณีที่เด็กมีความอ่อนไหวต่อความรู้สึก แม้ว่าคนรอบข้างจะไม่ได้กดดันเขา หรือไม่ได้คาดหวังอะไร ก็มีความเป็นไปได้ที่เด็กจะรู้สึกเครียดเอง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้างควรระมัดระวังพฤติกรรมการแสดงออกของตนเอง และเน้นย้ำให้เด็กเข้าใจว่า ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ตัวเขามีคุณค่าและมีความสำคัญ และมีคนรอบข้างที่พร้อมจะสนับสนุนเขาอยู่เสมอ
  3. ให้ความเข้าใจ ไม่ควรดุ ตำหนิ หรือตีเด็ก เพราะการดุด่า หรือการตีโดยไม่ให้เหตุผลที่เพียงพอ หรือการใช้อำนาจเป็นตัวตัดสิน นอกจากจะทำให้เด็กรู้สึกไม่ดี และรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ และคนรอบข้างไม่รัก ไม่เข้าใจเขาแล้ว อาจนำไปสู่พฤติกรรมต่อต้าน ก้าวร้าว หรือแม้กระทั่งนำเอาวิธีที่ปฏิบัตินั้นไปใช้กับคนอื่น ทางที่ดีก็คือคุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้างควรตั้งสติ พยายามทำความเข้าใจและใช้เหตุผลกับเด็กให้ได้มากที่สุด
  4. ให้ความสนใจ คุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้างไม่ควรทำอาการเพิกเฉยต่อเด็ก เพราะบางครั้งเด็กอาจจะต้องการให้คนรอบข้างสนใจและเข้าใจเขา หากเพิกเฉย อาจนำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรงเพื่อเรียกร้องความสนใจในอนาคต
  5. ให้เวลา คุณพ่อคุณแม่ควรจะใช้เวลากับลูกบ่อย ๆ เพราะจะทำให้ความสัมพันธ์แนบแน่นยิ่งขึ้น ถ้าหากลูกอยู่ในวัยประถม คุณพ่อคุณแม่อาจจะทำกิจกรรมร่วมกันกับลูก และชมเชยลูกได้ ส่วนถ้าลูกโตขึ้นมาหน่อยหรืออยู่ในช่วงวัยรุ่น คุณพ่อคุณแม่อาจจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพูดคุย เป็นการกระตุ้นให้เขาเปิดใจกับเรา ทำให้เขาไม่เครียด ไม่เก็บกด

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลเด็กให้กับกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับเด็กอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงจัดทำโครงการเพื่อสังคม (CSR) อาทิ โครงการ "วัคซีนพ่อแม่" เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของเด็กในชุมชนแออัด ให้มีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย และมีชีวิตวัยเด็กที่มีคุณภาพ ผ่านความช่วยเหลือด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพและบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลในเครือ โดยบริษัทฯมีแผนที่จะขยายโครงการไปสู่พ่อแม่และผู้ปกครองในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย โครงการนี้ถือเป็นตัวอย่างโครงการเพื่อสังคมที่บริษัทฯตั้งใจทำเพื่อให้แน่ใจว่าเด็ก ๆ ไม่ว่าจะอยู่ภายในสภาพแวดล้อมใด ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับโอกาสในการมีชีวิตวัยเด็กที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงกัน พร้อมทั้งการผลักดันให้คุณพ่อคุณแม่และคุณครูมีส่วนร่วมช่วยกันเสริมสร้างพื้นฐานสุขภาพร่างกายและจิตใจของเด็กให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อการพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพของสังคมไทยต่อไปในอนาคต

No comments